-ตอบโจท.aspx)
Digital ID
- 19 ก.ย. 68
-
17
-
การใช้ระบบรู้จำใบหน้า (Facial Recognition) ตอบโจทย์การพิสูจน์และยืนยันตัวตนได้จริงไหม
สรุปบทความโดยย่อ
ระบบรู้จำใบหน้า (Facial Recognition) ได้รับความนิยมอย่างมากในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล เนื่องจากมีความสะดวก รวดเร็ว และแม่นยำสูง เทคโนโลยีนี้ขับเคลื่อนด้วยอัลกอริทึมปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้เชิงลึก ทำให้มีความแม่นยำมากกว่า 99% อย่างไรก็ตาม ระบบยังมีข้อจำกัดและความท้าทาย เช่น ความเสี่ยงจากการรั่วไหลของข้อมูลชีวมิติ การโจมตีแบบปลอมแปลง (Spoofing) และอคติที่ส่งผลต่อความแม่นยำในการยืนยันตัวตนกลุ่มประชากรที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านความเป็นส่วนตัว การยินยอมใช้ข้อมูล และการเข้าถึงเทคโนโลยีสำหรับบางกลุ่ม เพื่อแก้ไขข้อจำกัดเหล่านี้ ควรใช้แนวทางแบบผสมผสาน โดยผสานการรู้จำใบหน้ากับวิธีการยืนยันตัวตนอื่น ๆ และกำหนดมาตรการด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวอย่างเข้มงวด
|
1. บทนำ
ในปัจจุบัน ระบบรู้จำใบหน้า (Facial Recognition) เป็นส่วนสำคัญของการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ทั้งในแง่ของการเพิ่มความรวดเร็ว สะดวก และมีความน่าเชื่อถือที่ค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้อาจไม่สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลได้ทั้งหมด รวมถึงยังมีข้อจำกัดและความท้าทายที่ต้องพิจารณาในการนำระบบรู้จำใบหน้ามาใช้งาน เช่น การจัดการความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้บริการ การรั่วไหลของข้อมูลภาพใบหน้า รวมถึงการที่ประชากรบางกลุ่มไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้ เช่น กลุ่มผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นช่องว่างที่ควรพิจารณาแนวการการแก้ปัญหา และกำหนดให้มีการนำวิธีการทางเลือกอื่น ๆ มาใช้ร่วมด้วยเพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นคงปลอดภัยของการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล
2. ข้อดีของระบบรู้จำใบหน้า
ระบบรู้จำใบหน้ามีข้อดีหลายด้านที่ช่วยส่งเสริมการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ทั้งนี้ประสิทธิผลที่ได้รับขึ้นอยู่กับแนวทางการใช้งานและพัฒนาระบบรู้จำใบหน้าของหน่วยงาน
- ประสิทธิภาพ (Efficiency): ระบบรู้จำใบหน้าช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการยืนยันตัวตนผู้ใช้บริการ เพิ่มความสะดวกสบาย โดยยังคงความน่าเชื่อถือในการยืนยันตัวตนอยู่
- ความสะดวก (Convenience): ผู้ใช้บริการสามารถยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าผ่านกล้องสมาร์ทโฟน ลดการจดจำรหัสผ่าน และลดความเสี่ยงจากการสัมผัสอุปกรณ์ร่วมกับผู้อื่น เช่น การใช้อุปกรณ์สแกนลายนิ้วมือเพื่อเข้าอาคาร
- ความสามารถในการขยายขอบเขตการใช้งาน: ปัจจุบันผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในไทยมีสัดส่วนร้อยละ 89.5 ของประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไป และผู้ใช้โทรศัพท์มือถือมีสัดส่วนร้อยละ 95.5 [1] โดยโทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่จะมีกล้องหน้าสำหรับใช้ยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า ในขณะที่โทรศัพท์มือถือที่รองรับการสแกนลายนิ้วมือมีจำนวนน้อยกว่า นอกจากนี้ การใช้ลายนิ้วมือยังมีข้อจำกัด เช่น ผู้พิการบางรายไม่สามารถใช้ระบบสแกนลายนิ้วมือได้ หรือแรงงานบางกลุ่มที่ลายนิ้วมือไม่ชันเจนเนื่องจากการทำงานหนักเป็นประจำ
- ความแม่นยำ (Accuracy): เทคโนโลยีรู้จำใบหน้ามีความก้าวหน้าอย่างมากจากการพัฒนาอัลกอริทึมปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) โดยพบว่าอัลกอริทึมที่ได้รับความนิยมนั้น มีความแม่นยำสูงกว่า 99% และมีอัตราความผิดพลาดต่ำกว่าการใช้ลายนิ้วมืออย่างมีนัยสำคัญ [2] อย่างไรก็ตาม การพัฒนาระบบรู้จำใบหน้าให้มีความแม่นยำสูง ต้องอาศัยข้อมูลปริมาณมากและเครื่องมือการเรียนรู้เชิงลึกที่มีประสิทธิภาพ [3]
- ศักยภาพด้านความปลอดภัย (Security Potential): เทคโนโลยีรู้จำใบหน้าที่มีประสิทธิภาพสามารถเพิ่มความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยเฉพาะเมื่อผสานกับเทคนิคตรวจจับการปลอมแปลง ข้อมูลภาพใบหน้า เพื่อให้สามารถป้องกันการโจมตีแบบสวมรอยได้อย่างทันท่วงที
3. ข้อจำกัดและความท้าทายของระบบรู้จำใบหน้า
แม้ระบบรู้จำใบหน้าจะมีข้อดีที่หลากหลาย แต่ก็มีข้อจำกัดและความท้าทายที่สำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในการนำระบบรู้จำใบหน้ามาใช้ในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล
- ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย (Security Risks) และการโจมตีแบบปลอมแปลง (Spoofing Attacks): หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ ข้อมูลชีวมิติ เช่น ภาพใบหน้า อาจรั่วไหลและถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ระบบรู้จำใบหน้ายังมีความเสี่ยงต่อการโจมตีด้วยเทคนิคต่าง ๆ เช่น การใช้ภาพถ่ายที่พิมพ์ออกมา หน้ากากสามมิติ (3D Mask) และเทคโนโลยี Deepfake ดังนั้น การใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อตรวจจับการโจมตี เช่น การตรวจจับการมีชีวิตหรือการปลอมใบหน้า (Liveness Detection) จึงเป็นมาตรการสำคัญเพื่อยืนยันว่าข้อมูลภายใบหน้าที่ระบบได้รับนั้น มาจากบุคคลจริง ไม่ใช่วัตถุหรือสื่อปลอม
- ปัญหาจากการยินยอมการใช้ข้อมูล (Consent Issues): ผู้ให้บริการต้องแจ้งวัตถุประสงค์การใช้ข้อมูลภาพใบหน้าอย่างชัดเจน และต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใช้บริการ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย และเพื่อสร้างความโปร่งใสและรักษาความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการ [4]
- การพึ่งพาเทคโนโลยีจากภายนอก (Reliance on External Technology): ผู้ให้บริการบางรายใช้เทคโนโลยีรู้จำใบหน้าจากหน่วยงานที่เป็นบุคคลที่สาม ซึ่งอาจทำให้ผู้ให้บริการต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด และเผชิญความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของระบบหากเกิดปัญหากับหน่วยงานที่เป็นบุคคลที่สาม
- การเข้าถึงสมาร์ทโฟน (Smartphone Accessibility): ประชากรบางกลุ่มอาจไม่มีสมาร์ทโฟน ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงบริการที่ต้องใช้การยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าได้
- การขาดทางเลือก (Lack of Alternatives): หากระบบของผู้ให้บริการบังคับให้ใช้การยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าเพียงวิธีเดียว อาจสร้างความไม่สะดวกหรือความกังวลแก่ผู้ใช้บางกลุ่ม ซึ่งผู้ให้บริการควรกำหนดแนวทางแก้ไขหรือการเพิ่มตัวเลือกในการยืนยันตัวตน เช่น การใช้รหัส OTP หรือใช้ข้อมูลชีวมิติอื่น เช่น ลายนิ้วมือ
- อคติและความไม่แม่นยำ (Bias and Inaccuracy): เทคโนโลยีรู้จำใบหน้าถูกวิจารณ์ว่ามีอคติ โดยเฉพาะเมื่อใช้งานกับกลุ่มประชากรที่หลากหลาย เช่น เชื้อชาติ เพศ อายุ และสีผิว จากการศึกษาพบว่าระบบรู้จำใบหน้ามีความแม่นยำที่น้อยลง เมื่อนำมาใช้กับในกลุ่มคนผิวสี ผู้หญิง และบุคคลกลุ่มพิเศษ (เช่น ดาวน์ซินโดรม) ซึ่งอาจนำไปสู่การยืนยันตัวตนผิดพลาดได้ [2] [5]
- ความท้าทายกับความคล้ายคลึงกันในครอบครัว (Challenges with Familial Similarity): ระบบรู้จำใบหน้าอาจมีข้อจำกัดในการแยกแยะฝาแฝด หรือเกิดความผิดพลาดในการแยกภาพใบหน้าของสมาชิกในครอบครัวที่มีความคล้ายคลึงกัน ซึ่งปัญหานี้พบได้ค่อนข้างน้อยในระบบชีวมิติที่ใช้การเปรียบเทียบข้อมูลลายนิ้วมือหรือม่านตา
4. สรุป
ระบบรู้จำใบหน้าเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยเพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ด้วยความสามารถในการทำงานที่รวดเร็วและแม่นยำสูงเมื่อใช้อัลกอริทึมที่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ยังมีข้อจำกัดและความท้าทายหลายด้าน เช่น ความเสี่ยงจากการรั่วไหลของข้อมูลชีวมิติ การโจมตีแบบปลอมแปลง และปัญหาอคติ (bias) ของอัลกอริทึมที่ส่งผลต่อความแม่นยำของระบบเมื่อนำมาใช้กับกลุ่มประชากรจากหลากหลายเชื้อชาติ นอกจากนี้ยังมีประเด็นด้านความเป็นส่วนตัว การยินยอมใช้ข้อมูล และการเข้าถึงเทคโนโลยีสำหรับประชากรบางกลุ่ม การพึ่งพาเทคโนโลยีจากบุคคลที่สามก็เป็นอีกปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อความต่อเนื่องของบริการ เพื่อแก้ไขข้อจำกัดเหล่านี้ ผู้ให้บริการควรพิจารณาแนวทางการเสริมความมั่นคงปลอดภัยของระบบรู้จำใบหน้า การยืนยันตัวตนด้วยวิธีอื่น (เช่น การใช้รหัส OTP หรือเทคโนโลยีชีวมิติอื่น ๆ) พร้อมทั้งกำหนดมาตรการด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวอย่างเข้มงวด เพื่อให้การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลมีความมั่นคงปลอดภัย โปร่งใส และครอบคลุมผู้ใช้ทุกกลุ่ม
Click to download PDF File
อ้างอิง
[1] “High percentage of Thais ICT savvy, survey shows”, Accessed: Jun. 17, 2025. [Online]. Available:
https://www.nationthailand.com/thailand/general/40036030
[2] M. Daud, “How Does Facial Recognition Work in Identity Verification?”, Keesing. Accessed: Jun. 22, 2025. [Online]. Available:
https://www.keesingtechnologies.com/blog/keesing-blog/how-does-facial-recognition-work-in-identity-verification/
[3] B. Klare, “The Pros and Cons of Face & Facial Recognition - advantages and disadvantages, how accurate Face id technology”, ROC. Accessed: Jun. 22, 2025. [Online]. Available:
https://roc.ai/2023/03/29/the-pros-and-cons-of-face-recognition/
[4] R. Healey, “Dangers of Using AI Facial Recognition Technology”, Formiti. Accessed: Jun. 22, 2025. [Online]. Available:
https://formiti.com/dangers-of-using-ai-facial-recognition-under-the-thailand-pdpa/
[5] “What is Facial Recognition & How does it work?”, /. Accessed: Jun. 22, 2025. [Online]. Available:
https://www.kaspersky.com/resource-center/definitions/what-is-facial-recognitio