
AIGC
- 05 พ.ย. 68
-
37
-
ถอดบทเรียนเวทีประชุมนานาชาติ สู่เส้นทาง ‘ธรรมาภิบาลแพลตฟอร์มดิจิทัล’ ในอาเซียน
“ไม่มีประเทศหรือภาคส่วนใดสามารถรับมือกับความท้าทายทางดิจิทัลได้เพียงลำพัง” นายไชยชนก ชิดชอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวในพิธีเปิดการประชุมนานาชาติ ASEAN–UNESCO Multistakeholder Forum on the Governance of Digital Platforms ที่ประเทศไทย นำโดย กระทรวง ดีอี สำนักงานพัฒนาธุกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) สำนักเลขาธิการอาเซียน (ASEAN Secretariat) องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) และโครงการ Global Initiative on the Future of the Internet (GIFI) ภายใต้ สถาบัน European University Institute (EUI) ร่วมจัดขึ้น เมื่อวันที่ 20-22 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา
_0.jpg.aspx)
คำกล่าวนี้ ไม่เพียงเป็นหัวใจหลักของเวทีนี้ แต่ยังสะท้อนถึง ความมุ่งมั่นของความร่วมมือ ในการร่วมสร้างธรรมาภิบาลแบบพหุภาคี (multistakeholder governance) ที่อาเซียนกำลังต้องการ ในยุคที่แพลตฟอร์มดิจิทัลมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของผู้คน โดย รมว.ดีอี เน้นย้ำว่า ประเทศไทยพร้อมเป็นศูนย์กลางการประสานความร่วมมือระดับภูมิภาค เพื่อขับเคลื่อนระบบนิเวศดิจิทัลที่ปลอดภัย โปร่งใส และเป็นธรรม โดยมีเป้าหมายไม่เพียงเพื่อปกป้องผู้ใช้ แต่เพื่อสร้าง Digital Trust ซึ่งเป็นรากฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งอนาคต พร้อมยังได้กล่าวถึง 3 ประเด็นหลักที่ประเทศไทยให้ความสำคัญ ทั้ง 1.ความร่วมมือข้ามพรมแดน (Cross-border Collaboration) ที่ประเทศในอาเซียนต้องร่วมกันกำหนดกติกากลางเพื่อจัดการความเสี่ยงจากแพลตฟอร์มที่ดำเนินการข้ามเขตอำนาจรัฐ 2.การเสริมพลังผู้ใช้ (User Empowerment) ประชาชนต้องมีสิทธิ์ในการควบคุมข้อมูลของตนเอง และสามารถตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่โปร่งใส และ 3.การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเป็นธรรม (Fair Digital Economy) ที่ต้องสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียม ไม่ปล่อยให้แพลตฟอร์มรายใหญ่ผูกขาดตลาดและกำหนดทิศทางสังคม
นี่นับเป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนา “ระดับภูมิภาค” ที่ไม่ได้มุ่งหาคำตอบเดียว แต่เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น ผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน สหภาพยุโรป (EU) UNESCO นักวิชาการ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม กว่า 350 คน จากกว่า 20 ประเทศ มาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ สู่การร่วมกำหนดแนวทางการกำกับดูแลแพลตฟอร์มอย่างมีธรรมาภิบาล ในยุคที่เทคโนโลยีและสิทธิมนุษยชนต้องเดินไปด้วยกัน
- เมื่อ “แพลตฟอร์มดิจิทัล” กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของชีวิต
_0.jpg.aspx)
แพลตฟอร์มดิจิทัลได้กลายเป็น “โครงสร้างพื้นฐานของชีวิตประจำวัน” ไม่ว่าจะเป็นการค้าขาย การศึกษา การสื่อสาร หรือการบริโภคข่าวสาร ประชาชนในภูมิภาคอาเซียนกว่า 650 ล้านคนต่างพึ่งพาระบบดิจิทัลในการใช้ชีวิต และในหลายประเทศ เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม (platform economy) มีสัดส่วนต่อ GDP ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลของอาเซียน จะมีมูลค่ากว่า 159 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ. 2568 และจะเติบโตแตะระดับ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี พ.ศ. 2573 สะท้อนให้เห็นว่า แพลตฟอร์มดิจิทัลกำลังกลายเป็น “เครื่องยนต์ใหม่” ของเศรษฐกิจภูมิภาคในทุกมิติ ตั้งแต่อีคอมเมิร์ซ เศรษฐกิจแพลตฟอร์มการจ้างงานระยะสั้น (Gig Economy) ไปจนถึงการค้าบริการดิจิทัล (Digital Services Trade) ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างโอกาสทางอาชีพรูปแบบใหม่ให้กับประชาชนในวงกว้าง แต่ในอีกด้านหนึ่ง แพลตฟอร์มเดียวกันนี้ก็กำลังสร้าง ความท้าทายใหม่ ที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงข้ามพรมแดน เช่น การแพร่กระจายของข่าวปลอม (Disinformation), การหลอกลวงออนไลน์ (Scams), การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Breach), การละเมิดความเป็นส่วนตัว (Privacy Breach), และการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ใช้ ผู้บริโภค ผู้ประกอบการ และหน่วยงานภาครัฐ
นี่จึงเป็นหนึ่งใน “ความท้าทายร่วม” ที่ผู้เชี่ยวชาญจากนานาประเทศ ผู้แทนจากภาครัฐ องค์การระหว่างประเทศ ภาคเอกชน นักวิชาการและภาคประชาสังคมที่มาร่วมประชุมบนเวทีนี้ ต่างเห็นพ้องตรงกันว่า จำเป็นต้องร่วมมือกันสร้าง “กติกาใหม่” ที่จะทำให้เทคโนโลยีดิจิทัลเติบโตอย่างรับผิดชอบ และสร้างสมดุลระหว่าง “นวัตกรรม เศรษฐกิจ และสิทธิมนุษยชน” ในภูมิภาคอาเซียนให้สอดคล้องกับสากล โดยที่ยังต้องคำนึงถึงบริบทของอาเซียน
- บทเรียนจากยุโรป: สร้างกติกาเพื่อความโปร่งใสและการแข่งขันที่เป็นธรรม
บนเวทีนี้ สะท้อนว่า “ยุโรป” คือหนึ่งในภูมิภาคที่วางรากฐานของธรรมาภิบาลแพลตฟอร์มดิจิทัลได้เข้มแข็ง ผ่าน EU’s Digital Policy Framework ที่มีสองกฎหมายสำคัญอย่าง Digital Services Act (DSA) และ Digital Markets Act (DMA) ที่ถือเป็นต้นแบบของ การกำกับดูแลเชิงป้องกัน (Ex-ante Regulation) ที่ไม่รอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยแก้ แต่กำหนดมาตรการเชิงป้องกันล่วงหน้า
-(1)_0.jpg.aspx)
โดยผู้แทนจาก คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission – DG CONNECT) อธิบายว่า DSA และ DMA เป็น “คู่กฎหมาย” ที่ทำงานควบคู่กัน โดย DSA มุ่งคุ้มครองผู้ใช้และสังคม วางหลักเกณฑ์ให้แพลตฟอร์มต้องรับผิดชอบต่อความเสี่ยงในระบบของตน เช่น ข้อมูลเท็จ เนื้อหาที่เป็นอันตราย การละเมิดสิทธิ และอัลกอริทึมที่ขับเคลื่อนด้วยความไม่โปร่งใส ส่วน DMA มุ่งดูแลการแข่งขัน โดยเฉพาะ “แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่” หรือ Gatekeepers ให้ดำเนินธุรกิจอย่างเป็นธรรม เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายเล็กสามารถแข่งขันและเข้าถึงตลาดได้ โดยมีเป้าหมายที่เป็นหัวใจร่วม คือการวาง “ระบบนิเวศแห่งการกำกับร่วมกัน” (Co-regulation Ecosystem) ระหว่างภาครัฐ ผู้ประกอบการ และผู้ใช้ ที่ไม่ใช่แค่การกำหนดโทษทางกฎหมาย แต่เป็นการร่วมกันรับผิดชอบในการออกแบบ บังคับใช้กฎหมายและตรวจสอบ พร้อมสร้างวัฒนธรรมความโปร่งใส (Transparency Culture) ที่ทุกฝ่ายต้องเปิดเผยข้อมูล ตรวจสอบ และรับผิดชอบร่วมกัน
_0.jpg.aspx)
ด้านผู้แทนจาก Coimisiún na Meán หน่วยงานกำกับดูแลด้านสื่อและแพลตฟอร์มออนไลน์ในประเทศไอร์แลนด์ยังได้ร่วมแชร์แนวทางได้อย่างน่าสนใจถึงการจัดตั้งหน่วยงานอิสระภายใต้ DSA เพื่อทำหน้าที่เป็น Digital Services Coordinator (DSC) ในการกำกับดูแล แก้ไขข้อร้องเรียน และตรวจสอบความโปร่งใสของแพลตฟอร์มโดยตรง ทั้งยังสะท้อนว่า “กฎหมายเพียงอย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องมีการศึกษา ความรู้ และความเข้าใจในเทคโนโลยี” ซึ่งเจ้าหน้าที่กำกับดูแลของไอร์แลนด์เองก็ต้องพัฒนา “Algorithmic Literacy” หรือความเข้าใจในการทำงานของอัลกอริทึมด้วย
- มุมมองของ UNESCO: ธรรมาภิบาลดิจิทัลต้องตั้งอยู่บนสิทธิมนุษยชน
บนเวทีนี้ ยังชี้ให้เห็นมิติใหม่ของ “ธรรมาภิบาลดิจิทัล” ผ่านการนำเสนอของ ผู้เชี่ยวชาญจากโครงการ Global Guidelines on the Governance of Digital Platforms ของ UNESCO ที่มุ่งยึดหลักสิทธิมนุษยชน (Human Rights-Based Approach) และให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลไม่ควรกลายเป็นการปิดกั้นเสรีภาพ แต่ต้องเป็นการบริหารจัดการที่มีความรับผิดชอบ และการกำกับดูแลแพลตฟอร์มจำเป็นต้องอาศัย “การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน (Multistakeholder Participation)” ไม่ใช่เพียงภาครัฐ แต่รวมถึงแพลตฟอร์ม เอกชน ภาคประชาสังคม นักวิจัย และสื่อมวลชน เพราะการควบคุมโดยรัฐฝ่ายเดียวอาจนำไปสู่การจำกัดเสรีภาพโดยไม่ตั้งใจ
_0.jpg.aspx)
ที่สำคัญ ผู้แทนจาก UNESCO ยังนำเสนอตัวอย่างจากโครงการ Social Media 4 Peace (SM4P) ของ UNESCO ที่ดำเนินการโดยอินโดนีเซีย ที่พบว่า แพลตฟอร์มระดับโลกมักใช้ระบบกลั่นกรองเนื้อหาที่เน้นภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาในท้องถิ่น ส่งผลให้เนื้อหาที่เป็นอันตรายหรือบิดเบือนในภาษาอื่นๆ หลุดรอดได้ง่าย ขณะเดียวกันก็มีการลบเนื้อหาที่ไม่ผิดจริงในบริบททางวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ จากกรณีนี้ ทาง UNESCO จึงเสนอว่า “ธรรมาภิบาลที่ดี” ต้องเข้าใจ บริบทท้องถิ่น (Local Context) และ ความหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรม (Cultural and Linguistic Diversity) และอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่ UNESCO ผลักดันคือ Media and Information Literacy (MIL) ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจกลไกเบื้องหลังของแพลตฟอร์ม แยกแยะข่าวปลอมได้ และลดความเสี่ยงจากอิทธิพลของอัลกอริทึม
_0.jpg.aspx)
ขณะที่ใน ห้อง Workshop หัวข้อ “Incorporating Media and Information Literacy and User Empowerment in Platform Governance” ผู้เข้าร่วมจากหลายประเทศได้ร่วมกันวิเคราะห์ว่า การรู้เท่าทันสื่อไม่ใช่แค่การแยกแยะข่าวปลอม แต่คือการเข้าใจ “ระบบเศรษฐกิจของความสนใจ (Attention Economy)” และ “กลไกของอัลกอริทึม” ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและความคิดเห็นของสังคมอีกด้วย
- เสียงสะท้อนจากฝั่งอาเซียน: สู่ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาหลักการพื้นฐานร่วมกันของภูมิภาค
เสียงจากประเทศในอาเซียนบนเวทีนี้ สะท้อนอย่างชัดเจนว่า กำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนา “หลักการพื้นฐานดิจิทัลร่วม หรือ ASEAN Digital Principles” ซึ่งแต่ละประเทศที่เข้าร่วมได้มีการแชร์มุมมองและแนวทางได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น อินโดนีเซีย ที่เน้นแนวคิด “Digital Sovereignty” หรืออธิปไตยทางดิจิทัล เพื่อเสริมความมั่นคงของผู้ใช้และข้อมูล พร้อมผลักดันหลักการ “Platform Accountability” ให้แพลตฟอร์มรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นในสังคมอินโดนีเซีย เช่น ปัญหาการหลอกลวงออนไลน์และข้อมูลบิดเบือน ด้าน ไอร์แลนด์ ซึ่งแม้ไม่ใช่ประเทศในอาเซียน แต่เป็นอีกกรณีศึกษาที่น่าสนใจในด้านโครงสร้างการกำกับดูแลแบบอิสระ (Independent Regulator) ที่ทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มข้ามชาติอย่างใกล้ชิด โดยแบ่งปันกลไก “Digital Regulator Network” ที่เชื่อมโยงหลายหน่วยงานกำกับดูแลเข้าด้วยกัน ด้าน ลาว และ ไทย ในฐานะเจ้าภาพร่วมที่ได้เสนอร่าง Recommendations on Digital Platform Governance in ASEAN ที่ครอบคลุม 9 ด้านสำคัญ เช่น การจัดการข้อมูลเท็จ (Disinformation), ความโปร่งใส (Transparency) และความเป็นธรรม (Fairness), การหลอกลวงออนไลน์ (Online scam), การกำกับดูแลธรรมาภิบาลสำหรับอัลกอริธึม และปัญญาประดิษฐ์ (Algorithm and AI Governance), การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และสิทธิของผู้ใช้บริการ เป็นต้น

ผู้แทนจากหลายประเทศเห็นพ้องว่า การกำกับดูแลแพลตฟอร์มในอาเซียนควรอิงกับ “หลักการร่วม (Joint Principles)” มากกว่ากฎหมายเดียวกันทุกประเทศ เพื่อให้สามารถปรับใช้ได้ตามบริบทของแต่ละชาติ แต่ยังคงหลักความโปร่งใส ความเป็นธรรม และการเคารพสิทธิมนุษยชนเป็นแกนกลาง
- จากแพลตฟอร์มสู่ Gen AI: ก้าวต่อไปของธรรมาภิบาลดิจิทัล
เมื่อ ‘แพลตฟอร์มดิจิทัล’ กลายเป็นพื้นที่หลักในการสื่อสาร การทำงาน และการเข้าถึงข้อมูลของผู้คนทั่วโลก เทคโนโลยีอย่าง Generative AI ก็ได้เข้ามาเสริมพลังให้แพลตฟอร์มเหล่านี้มีความสามารถมากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ก็สร้างความท้าทายใหม่ในด้าน ความน่าเชื่อถือ ความเป็นธรรม และความปลอดภัยของข้อมูล ในเวทีนี้ ผู้เชี่ยวชาญต่างได้ชี้ว่า Generative AI ไม่เพียงแต่ สร้างเนื้อหาได้เอง แต่ยังสร้างอิทธิพลต่อความคิด ความจริง และวาทกรรมในสังคมออนไลน์ ซึ่งอาจส่งผลต่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพในการแสดงออกอย่างลึกซึ้ง หากขาดกลไกธรรมาภิบาลที่โปร่งใส ดังนั้น แนวคิดการออกแบบเพื่อความปลอดภัยตั้งแต่ต้นทาง (Safety by Design) จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาแพลตฟอร์มและ AI ในยุคใหม่ ไม่ใช่รอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยแก้ตามภายหลัง แต่ออกแบบระบบให้รับผิดชอบและปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนการออกและพัฒนา เช่น การตรวจสอบอคติของอัลกอริทึม (Algorithmic Bias), การป้องกันการใช้ภาพหรือข้อมูล Deepfake, และการคุ้มครองผู้ใช้ที่เปราะบาง เพราะในยุคที่ “แพลตฟอร์ม” และ “AI” หลอมรวมกันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ธรรมาภิบาลดิจิทัลที่ดี ต้องเริ่มต้นตั้งแต่การออกแบบ ไม่ใช่แค่การควบคุมภายหลัง
.jpg.aspx)
เวที ASEAN–UNESCO Multistakeholder Forum on the Governance of Digital Platforms แสดงให้เห็นว่าการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลไม่ใช่การจำกัดเสรีภาพ แต่คือ “การออกแบบระบบที่ทำให้เสรีภาพอยู่ร่วมกับความรับผิดชอบได้” และสิ่งที่นานาประเทศต้องการไม่ใช่เพียงกฎหมายใหม่ แต่คือ “วัฒนธรรมความรับผิดชอบร่วมทางดิจิทัล (Digital Accountability Culture)” จากเวทีนี้ ทุกภาคส่วนต่างเห็นพ้องว่าอนาคตของธรรมาภิบาลการกำกับแพลตฟอร์มดิจิทัล ควรยืนอยู่บน 3 เสาหลักคือ Transparency ความโปร่งใสของข้อมูลและอัลกอริทึม Accountability ความรับผิดชอบของแพลตฟอร์มและภาครัฐ Empowerment การเสริมพลังผู้ใช้ให้มีสิทธิ์และความรู้ในการกำหนดประสบการณ์ดิจิทัลของตนเอง
เพราะในท้ายที่สุด จุดหมายปลายทางไม่ใช่ต้องการแค่ “ธรรมาภิบาลดิจิทัล” อย่างเดียว แต่หมายรวมถึง “เส้นทางของการร่วมสร้างอนาคตดิจิทัลที่เราทุกคนมีส่วนรับผิดชอบร่วมกัน”