TOP

Sitemap

Sitemap Descriptions

เกี่ยวกับ สพธอ.

ข่าวประชาสัมพันธ์

ETDA เปิดผลศึกษา ‘แนวทางขับเคลื่อน AI ไทยสู่มาตรฐานโลก’ ชู 11 นโยบายหลัก ตามกรอบยูเนสโก หนุนทุกภาคส่วนวางรากฐานจริยธรรม AI

AIGC Documents
  • 01 ก.ย. 68
  • 93

ETDA เปิดผลศึกษา ‘แนวทางขับเคลื่อน AI ไทยสู่มาตรฐานโลก’ ชู 11 นโยบายหลัก ตามกรอบยูเนสโก หนุนทุกภาคส่วนวางรากฐานจริยธรรม AI

ศูนย์ AIGPC by ETDA จับมือพันธมิตร เปิดเวทีใหญ่เผยผลการศึกษาและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อขับเคลื่อนการใช้ AI ของไทยตามแนวทาง UNESCO Recommendation on the Ethics of Artificial Intelligence” ที่ 194 ประเทศทั่วโลกร่วมรับรอง  ชวนภาครัฐ เอกชน และวิชาการ ร่วมวางแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม หลังผลประเมินสถานภาพชี้ไทยมีความก้าวหน้าในหลายมิติ โดยเฉพาะด้านการคุ้มครองข้อมูลและการศึกษา แต่ยังพบช่องว่างสำคัญในด้านกฎหมาย การรับมือผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ ซึ่งต้องการการผลักดันเชิงนโยบายอย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันอย่างยั่งยืน

เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA ร่วมกับ บริษัท โบลลิเกอร์ แอนด์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด จัดการสัมมนาเผยแพร่ผลการศึกษาและข้อเสนอเชิงนโยบาย ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท เพื่อนำเสนอผลการศึกษาและระดมความเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระบบนิเวศปัญญาประดิษฐ์ของไทย สู่การกำหนดแผนปฏิบัติการที่สอดคล้องกับหลักจริยธรรมสากล สร้างความเชื่อมั่นในการใช้เทคโนโลยี AI อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม การสัมมนาครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการสังเคราะห์องค์ความรู้และมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญกว่า 45 หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน  เพื่อร่วมกันออกแบบอนาคตการกำกับดูแล AI ของประเทศ

ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ ETDA กล่าวเปิดงานว่า ETDA มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเด็น AI Governance ในเวทีโลก ผ่านการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือระหว่างประเทศ ภายใต้กรอบแนวคิด AI Global Practice Center ที่มุ่งเน้น 4 เสาหลัก ได้แก่ 1) Capacity Building การสร้างขีดความสามารถของประเทศให้พร้อมรับมือกับความท้าทาย 2) Observatory การจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังเพื่อติดตามข้อมูล มาตรฐาน และแนวโน้มการกำกับดูแลทั่วโลก 3) R&D การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ทดลอง (Sandbox) หรือกรอบการประเมินเพื่อสร้าง AI ที่น่าเชื่อถือ และ 4) Expert Network การสร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้ เพื่อนำความรู้ระดับสากลมาปรับใช้กับบริบทของไทย การจัดทำรายงานสถานภาพฉบับนี้ ถือเป็นผลงานสำคัญภายใต้เสาหลักด้านการวิจัยและการเฝ้าระวัง เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีข้อมูลที่ชัดเจนในการตัดสินใจเชิงนโยบายต่อไป
ภายในงานได้นำเสนอผลการศึกษาและร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายตาม 11 Key Policy Areas ที่ระบุใน UNESCO Recommendation on the Ethics of Artificial Intelligence ได้แก่ 1. การประเมินผลกระทบทางจริยธรรม (Ethical Impact Assessment) 2. การกำกับดูแลและการจัดการด้านจริยธรรม (Ethical Governance and Stewardship) 3. นโยบายการกำกับดูแลข้อมูล (Data Policy) 4. การพัฒนาและความร่วมมือระหว่างประเทศ (Development and International Cooperation) 5. สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ (Environment and Ecosystems) 6. เพศ (Gender) 7. วัฒนธรรม (Culture) 8. การศึกษาและวิจัย (Education and Research) 9. การสื่อสารและข้อมูล (Communication and Information) 10. เศรษฐกิจและแรงงาน (Economy and Labour) และ 11. สุขภาพและสุขภาวะทางสังคม (Health and Social Well-being) ซึ่งเป็นผลจากการประเมินสถานภาพของประเทศไทยอย่างรอบด้านพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญในแต่ละภาคส่วน ผลการศึกษาฉายภาพความพร้อมของประเทศที่น่าสนใจ โดยพบว่าไทยมีความก้าวหน้าที่แข็งแกร่งในบางมิติ แต่ก็ยังมีช่องว่างในมิติอื่นที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ อาทิ ในกลุ่มนโยบายด้านธรรมาภิบาลและกฎหมายพื้นฐาน ประเทศไทยมีรากฐานที่มั่นคงอย่างยิ่งใน ด้านนโยบายข้อมูล (Data Policy) โดยมีการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) อย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 อย่างไรก็ตาม ในด้านธรรมาภิบาลและการกำกับดูแล (Ethical Governance) พบว่ากฎหมายหลักที่กำกับดูแล AI โดยตรงยังอยู่ในขั้นตอนการร่างและรับฟังความคิดเห็น ขณะที่ด้านการประเมินผลกระทบทางจริยธรรม (Ethical Impact Assessment - EIA) ยังไม่มีกรอบการทำงานระดับชาติที่กำหนดให้เป็นมาตรฐานภาคบังคับอย่างเป็นรูปธรรม  ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการกำกับดูแลเชิงรุกที่ต้องเร่งผลักดัน ในกลุ่มนโยบายด้านทุนมนุษย์และผลกระทบต่อสังคม นับเป็นกลุ่มที่เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ประเทศไทยมีความโดดเด่นอย่างยิ่งใน ด้านการศึกษาและการวิจัย (Education and Research) โดยรัฐบาลได้ริเริ่มโครงการขนาดใหญ่เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจด้าน AI และจริยธรรมในวงกว้าง เช่น แพลตฟอร์ม THAI Academy ที่ตั้งเป้าให้ความรู้แก่ประชาชนหลายล้านคน รวมถึงด้านเศรษฐกิจและแรงงาน (Economy and Labour) ที่มีความสำเร็จอย่างสูงในโครงการยกระดับทักษะ (Upskilling/Reskilling) ภายใต้ยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ แต่ในทางกลับกัน การศึกษากลับพบช่องว่างใหญ่ในด้านเพศ (Gender) ซึ่งถูกประเมินว่าเป็นหนึ่งในด้านที่มีความก้าวหน้าน้อยที่สุด โดยขาดข้อมูลสัดส่วนผู้หญิงในสายงาน AI และยังไม่มีกรอบนโยบายที่ชัดเจนเพื่อจัดการกับอคติทางเพศในระบบอัลกอริทึม เป็นต้น
img_1.jpg

img_4.jpg
ในช่วงเสวนา (Panel Discussion) ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายภาคส่วนร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองอย่างเข้มข้น ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาอาวุโส ETDA เน้นย้ำว่าการกำกับดูแลต้องพิจารณาตามบริบท และจำเป็นต้องมี ‘การรับรองมาตรฐาน AI’ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้งาน โดยเสนอให้เริ่มต้นจากกฎกติกาแบบสมัครใจ (Soft Law) เพื่อสร้างความพร้อมให้ผู้ประกอบการก่อนที่จะยกระดับสู่การบังคับใช้จริง ซึ่งแนวทางนี้จะช่วยส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศที่สมดุล โดยภาครัฐทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนและอำนวยความสะดวก มากกว่าการลงไปดำเนินโครงการที่ภาคเอกชนมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว
img_6.jpg
ดร.สลิลธร ทองมีนสุข นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ชี้ว่าโจทย์ใหญ่คือการนำ AI ไปสู่การปฏิบัติจริงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเศรษฐกิจ แต่ยังมีความท้าทายด้านการขาดแคลนบุคลากรและการนำไปใช้ในภาคธุรกิจที่ยังน้อยเพียงร้อยละ 20 ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาในมิติเศรษฐกิจและแรงงานที่แม้จะเน้นการ Reskilling แต่ยังขาดนโยบายที่ชัดเจนในการรับมือผลกระทบต่อตลาดแรงงาน  ดังนั้น การขับเคลื่อนจริยธรรม AI ของไทยต้องไม่หยุดที่ทฤษฎี โดยรัฐควรสนับสนุนให้มี ‘พื้นที่ทดลอง (Sandbox)’ ที่ปลอดภัยสำหรับภาคเอกชนได้ทดลองใช้ AI ในสภาพแวดล้อมจริง และเร่งสร้างความร่วมมือเพื่อลดช่องว่างความรู้และผลิตบุคลากรให้ตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรม

ในมุมภาคเอกชน คุณศุภชัย สัจไพบูลย์กิจ กรรมการเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมนวัตกรรมและวิจัย หอการค้าไทย กล่าวว่า ความท้าทายสำคัญคือความคาดหวังของสังคม การขาดกรอบความคิดที่ชัดเจน และต้นทุนในการปรับตัวของภาคธุรกิจ เพื่อให้การขับเคลื่อนเกิดผลจริง จำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจผ่าน ‘ความร่วมมือแบบมีส่วนร่วม’ โดยเปิดให้เอกชนร่วมออกแบบกฎระเบียบ จัดให้มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี และพัฒนาระบบ AI Certification ที่น่าเชื่อถือและปฏิบัติได้จริง ภาคเอกชนพร้อมจะเป็นกระบอกเสียงสำคัญที่สะท้อนว่า AI แบบใดที่ดีและตอบโจทย์ผู้ใช้งาน โดยควรเริ่มต้นจากกติกาแบบ Soft Law เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างนวัตกรรม

img_5.jpg
คุณพินิจ จันทรังสี ที่ปรึกษาระดับภูมิภาคด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ องค์การยูเนสโก ให้มุมมองสากลว่า ความท้าทายร่วมกันของหลายประเทศคือการเปลี่ยนกรอบจริยธรรมในภาพรวมให้เป็นแนวปฏิบัติที่จับต้องได้ ยูเนสโกได้พัฒนาเครื่องมืออย่าง Ethical Impact Assessment และ Readiness Assessment Method เพื่อช่วยเหลือประเทศต่าง ๆ แต่เครื่องมือเหล่านี้ต้องถูกนำไปปรับใช้ในแต่ละบริบทอย่างลึกซึ้ง โดยอาศัยมุมมองแบบสหวิทยาการ ไม่ใช่แค่ด้านเทคนิค ซึ่งสอดคล้องอย่างยิ่งกับผลการศึกษาที่ชี้ว่าประเทศไทยยังขาดกรอบ EIA ระดับชาติ

ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ กล่าวปิดท้ายว่า การสร้างเครือข่ายกับทุกภาคส่วนเป็นหัวใจสำคัญในการเสริมสร้างแนวทางกำกับดูแล AI ที่มีจริยธรรมและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ผลการศึกษาและข้อคิดเห็นที่ได้รับในวันนี้จะถูกนำไปสังเคราะห์เพื่อปรับปรุงข้อเสนอแนะเชิงนโยบายให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดย ETDA มีแผนจะศึกษาเรื่อง Ethical Impact Assessment (EIA) อย่างเป็นระบบในระยะต่อไป เพื่อพัฒนาเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับองค์กรในประเทศไทยให้สามารถนำไปใช้ได้จริง ซึ่งจะเป็นการตอบโจทย์สำคัญที่ได้จากการศึกษาและเติมเต็มช่องว่างในการกำกับดูแล AI ของประเทศให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็ว
ผู้ที่สนใจเนื้อหาสามารถเข้าไปศึกษาและดาวน์โหลดเอกสารสรุปเนื้อหางานวิจัยได้ฟรีที่ https://drive.google.com/drive/folders/1u41naFKMXdVI90wktjtVdIbH6IWMNq_f

 

img_2.jpg


 

Rating :
Avg: 0 (0 ratings)